หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทหารเสียมกุกแห่งนครวัด

ทหารเสียมกุกแห่งนครวัด


           "นี่ เสียมกุก" คำแปลจากภาษาเขมรเป็นภาษาไทยและภาพสลักนูนต่ำทหารเสียมปรากฎบนระเบียงประวัติศาสตร์ที่ปราสาทนครวัด  ได้กลายเป็นที่โต้เถียงกันทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ภาษาศาสตร์ และชาติพันธ์ุ มาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งนักวิชาการบางท่านก็เชื่อว่า เสียมกุกคือบรรพบุรุษชาวสยาม แต่บางท่านกลับไม่เชื่อเนื่องจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของทหารเสียมเหล่านี้

         

                                             ที่มา : นครวัด  (กองทัพทหารเสียมที่นครวัด)
                
         รูปสลักนูนต่ำเสียมกุก หรือทหารเสียม  เชื่อกันว่าเสียมกุกเป็นชาวสยามที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งไปร่วมรบกับกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2




                                                  ที่มา : นครวัด (แม่ทัพของกองทัพทหารเสียม)

            ลักษณะการแต่งกายของทหารเสียมจะสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบพิเศษ เสื้อแขนสั้นดูจะเป็นแบบมาจากเขมร เป็นเครื่องแต่งกายที่เสริมความหนาไว้ป้องกันหอกกับธนู ในทางตรงกันข้ามผ้านุ่งทำจากวัสดุที่ละเอียดบางมากๆ เครื่องสวมศีรษะของคนเสียมแปลกประหลาดเป็นพิเศษ  ทำด้วยเส้นใยถักทอละเอียด ประดับด้านบนด้วยขนนกหรือใบไม้ห้อยย้อยลงมา


                                             
                                             ที่มา : นครวัด  (กองทัพทหารเสียมที่นครวัด)
   

       อาวุธนั้นจะต่างจากของเขมร  เป็นแหลมที่ปลายเป็นพู่ขนนกหรือใบไม้ ส่วนหัวหน้าหรือแม่ทัพเสียมกุกจะยืนบนหลังช้าง มือถือคันธนูและลูกศร ผมยาวจับกันเป็นเปียขนาดเล็ก บางส่วนจับเกล้าสูงขึ้นไป
ส่วนรูปร่างหน้าตาของทหารเสียมเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก สามารถกล่าวได้ว่าหน้าตาของคนเสียม คือ"คนป่า" ซึ่งไม่เข้ากับลักษณะของคนไทยเลย แม้ว่าจะในต้นคริสตศตวรรษที่ 12 เนื่องจากคนไทยมีส่วนร่วมในอารยธรรมที่เจริญสูงส่งของน่านเจ้า ได้รับอิทธิพลศาสนาพุทธอย่างมากซึ่งแสดงออกผ่านทางศิลปะอันสูงค่า คนไทยเป็นผู้เพาะปลูกข้าว ตั้งบ้านนเรือนอยู่ที่ราบสูง และที่สำคัญคนไทยมีผิวขาวกว่าคนเสียม



                                                    ที่มา : นครวัด (กองทัพทหารเสียมที่นครวัด)
             อย่างไรก็ตามการแปลความ "นี่ เสียมกุก" นั้นยังไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่และนักวิชาการจากหลากหลายสาขาวิชายังคงมีข้อถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับเรื่อง "คนเสียม = คนสยาม" และยังคงศึกษาหาข้อสรุปนี้ต่อไป

อ้างอิง

-สุจิตต์  วงษ์เทศ. "เสียมกุก" รูปสลักที่นครวัด(ออนไลน์). แหล่งที่มา : www.sujitwongthes.com/2011/04/siam29042554/. 13 ตุลาคม 2560.
-กุลพัทธ์ มานิตยกุล,เอเลียต  แฮร์ส,อัครพงษ์  ค่ำคูณ(2545). นี่ เสียมกุก.มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. บริษัท ดรีม แคชเชอร์ กราฟฟิค จำกัด. 117 หน้า










         

ย้อนรอยสถานพยาบาล หรือ"อโรคยศาลา" ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ย้อนรอยสถานพยาบาล หรือ"อโรคยศาลา" ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 



         อโรคยศาลา ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเมืองพระนคร ที่ปราถนาให้ประชาชนของพระองค์นั้นปราศจากโรคภัย พระองค์จึงทรงโปรดให้สร้างอโรคยศาลา ควบคู่ไปกับบ้านพักคนเดินทาง หรือที่เรียกอีกชื่อว่า บ้านมีไฟ ขึ้นตามเส้นทางจากเมืองพระนครไปยังปราสาทหินพิมาย ในที่ราบสูงโคราช ประเทศไทย


                              ที่มา: http://oknation.nationtv.tv/blog/nn1234/2011/03/20/entry-1

           อโรคยศาลา หรือโรงพยาบาลในพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นโรงพยาบาลสำหรับรักษาประชาชนที่เจ็บป่วย ในลักษณะเดียวกันกับที่ทรงโปรดให้สร้างธผรรมศาลา เพื่อที่จะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงให้ความช่วยเหลือมนุษย์ และการแผ่ขยายอิทธิพลของพระองค์ เพื่อให้ประชาชนเลื่อมใสและเกิดความเคารพศรัทธาในตัวพระองค์  ซึ่งในอโรคยศาลาจะประกอบไปด้วย  แพทย์ เจ้าหน้าที่ดูและทรัพย์สินของโรงพยาบาล  เจ้าหน้าที่ดูแลทั่วไปและทำความสะอาด โหราจารณ์ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวมแล้วประมาณ 98 คน การสร้างอโรคยศาลาได้สร้างตามเส้นทางจากเมืองพระนคร ตามปราสาทต่างๆและสิ้นสุดที่ปราสาทหินพิมายในประเทศไทย
       
     
     

                             ที่มา: http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2009/08/20/entry-1

             อโรคยศาลา หรือโรงพยาบาล พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนของพระองค์อยู่ดีมีสุข ด้วยการรักษาโรคโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นการสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนจงรักภักดีต่อผู้ปกครองตลอดรัชสมัย

อ้างอิง
-ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์กรมหาชน). อโรคยศาลา : สถานพยาบาลในยุคจารีต(ออนไลน์). แหล่งที่มา:www.sac.or.th/conference/2017/อโรคยาศาล-สถานพยาบาลใน/. 12 ตุลาคม 2560.
-srwlwt@yahoo.com. อโรคยศาลการรักษาในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่  7 ที่สืบทอดกันมา 800 ปีของชาวเขมรในสุรินทร์(ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/nn1234/2011/03/20/entry-1. 12 ตุลาคม 2560..
-วรณัย พงศาชลากร. "อโรคยศาลา" พยาบาลสถานแห่งพระพุทธเจ้ากับข่าวคราวครั้งล่าสุด!!!(ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2009/08/20/entry-1. 12 ตุลาคม 2560.









หน้ากาล รูปปั้นแห่งกาลเวลา  (Kala)


ยลเสน่ห์ “นางอัปสราสุดสวย”- “ทับหลังแห่งพนมรุ้ง” ในเส้นทางปราสาทหินถิ่นอีสานใต้

                          ที่มา: www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9560000098879
           
                หน้ากาล ตัวกาล หรือเกียรติมุข แปลว่า "กาลเวลา" ซึ่งเป็นผู้ที่ทำลายทุกสรรพสิ่งอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อเป็นการเตือนสติทุกคน  เวลาเป็นสิ่งมีค่าไม่ควรประมาท หรือปล่อยให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ เวลาจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างดังเช่นตัวกาล

              ความเป็นมาของหน้ากาล

    ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู นับถือพระศิวะเป็นเทพชั้นสูง ตามตำนานของหน้ากาลเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีอสูรจอมเจ้าชู้ตนหนึ่งนามว่าราหู เข้ามาขอเข้าเฝ้าพระศิวะ เพื่อทูลขอพระนางศรีอุมาเทวี พระชายาของพระศิวะไปเป็นภรรยา ทำให้พระศิวะเกิดโกรธกริ้วยิ่งนัก ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าพระศิวะทรงรักและทรงหวง พระนางศรีอุมาเทวีดั่งแก้วตา ดวงใจ  ด้วยความแค้นเคืองนี้ทำให้พระศิวะเผลอลืมตาที่สามขึ้น  เกิดเป็นสัตว์ประหลาดท่าทางหิวโหยออกมา มีใบหน้าคล้ายอสูรที่ดุร้าย คิ้วขมวด นัยน์ตากลมและถลน ปากกว้างเห็นฟันและเขี้ยว ไม่มีฟันล่าง ไม่มีลำตัว  ราหูเกิดกลัวจึงรีบเข้าไปอ้อนวอนพระศิวะที่ล่วงเกิน สัตว์ประหลาดตนนี้จึงกินที่อย่างของตน ทั้ง ขา ท้อง กราม เข้าไปเหลือไว้เพียงส่วนศีรษะและแขนที่ยื่นออกมาจากข้างศีรษะเท่านั้น พระศิวะจึงเกิดความสงสาร จึงให้พรแก่กาลให้อยู่ที่ประตูวิมานของพระองค์ตลอดไป


   
ยลเสน่ห์ “นางอัปสราสุดสวย”- “ทับหลังแห่งพนมรุ้ง” ในเส้นทางปราสาทหินถิ่นอีสานใต้
                     
                   ที่มา:http://www.manager.co.th/travel/viewnews.aspx?NewsID=9560000098879
                     
                 จากตำนานความเชื่อนี้ เมื่อมีการสร้างปราสาทตามโคปุระก็จะนิยมแกะสลักรูปตัวกาลไว้บนทับหลังของทางเข้าสู่ปราสาท ตามความเชื่อแบบฮินดูและนับถือพระศิวะ ก็จะปรากฎรูปตัวกาลนี้ อีกนัยหนึ่งเป็นการเตือนสติแก่ประชาชนทั่วไปกับการให้ความสำคัญเรื่องเวลา





อ้างอิง

- Wicha30.มารู้จัก เกียรติมุข หน้ากาล กันเถอะ(ออนไลน์).แหล่งที่มา ww.blogger.com/blogger.g?blogID=3546608271077677558#editor/target=post;postID=2427186024001421732. 8 ตุลาคม 2560.
-กาลิทัส,อักษรชนนี. หน้ากาล (ออนไลน์).แหล่งที่มา ww.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&ved=0ahUKEwiOh-S-weHWAhVMxbwKHUwIBmUQjRwIBw&url=http%3A%2F%2Fwww.hindumeeting.com. 8 ตุลาคม 2560.

-วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ.เกียรติมุขหรือหน้ากาล(ออนไลน์). แหล่งที่มา ww.visitsurin.com/articles/42235047/เกียรติมุขหรือหน้ากาล.html.8 ตุลาคม 2560.
นางอัปสรา นางฟ้าแห่งสวรรค์  (Apsara)


              นางอัปสราหรือนางอัปสร ชาวเขมรเชื่อว่านางอัปสราเป็นนางฟ้าแห่งสวรรค์และเป็นเทพธิดาที่มีความงดงามคอยรับใช้และเฝ้าดูแลศาสนสถาน มีนางอัปสรามากมายที่ถูกสลักไว้ในปราสาทต่างๆของเขมรตามความเชื่อของศาสนาฮินดู เช่น นครวัด บันทายสรี และปราสาทบายน เป็นต้น 
         

                                            
                                              ที่มา:นครวัด (รูปนูนต่ำนางอัปสรที่นครวัด)

          ต้นกำเนิดของนางอัปสรานั้นเกิดจากการกวนเกษียรสมุทร หรือทะเลน้ำนมของเหล่าเทวดาและอสูร ตามความเชื่อของฮินดูเล่าว่า พระวิษณุเป็นประธานในพิธี ใช้เขาพระสุเมรุแทนไม้กวน ใช้พระยานาคาวาสุกรีแทนเชือก เหล่าาเทวดาจับหาง ส่วนเหล่าอสูรจับหัวและปั่นวนไปวนมาจนได้น้ำอมฤต แต่ก่อนที่จะได้น้ำอมฤตนั้น ได้เกิดเป็นนางอัปสรากระดุกกระดิกขึ้นมาก่อนประมาณ 35 ล้านองค์ แต่ในจำนวน 35 ล้านองค์นั้นมีเพียง 1 องค์ที่ได้รับเกียรติสูงสุด ซึ่งถูกอัญเชิญให้เป็นพระชายาของพระนารายณ์ คือ พระนางลักษมีเทวี ส่วนนางอัปสารที่เหลือนั้นถูกยกเป็นของกลางแห่งสวรรค์เป็นข้าบริจาริกาของเทวดาทั่วไป ในการสร้างปราสาทจะมีการสลักรูปนางอัปสราตามความเชื่อว่านางอัปสราเป็นนางฟ้าแห่งสวรรค์จะคอยดูแลศาสนสถานแห่งนั้น


                             ที่มา: http://vipaporn-petmas.blogspot.com/2012/03/1.html
       
                  ดังนั้นจะสามารถพบเห็นรูปปั้นนูนต่ำนางอัปสราได้ตามปราสาทต่างๆทั่วไป เพราะเกิดจากความเชื่อและอิทธิพลของฮินดู นางอัปสราเป็นนางฟ้าที่น่าสงสารเพราะถูกยกให้เป็นของกลางของสวรรค์ไม่สามารมีอิสระได้ นางอัปสราที่มีความสวยงามมากที่สุด มีความละเอียดปราณีตสามารถพบเห็นได้ที่นครวัดและตามปราสาทตามอาณาจักรของเขมรโบราณ

  




อ้างอิง
- เชษฐ์ ติงสัญชลี.นางอัปสร ปราสาทนครวัด (ออนไลน์).ที่มา :www.sac.or.th/databases/seaarts/th/sculptureth/กัมพูชา/item/499-นางข - อัปสรปราสาทนครวัด.html.7 ตุลาคม 2560

- ปิ่น บุตรี.แด่..."อัปสรา"เทพธิดาผู้ต้องชะตากรรมและชะตากาม (ออนไลน์).ที่มา:www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9480000131974.7 ตุลาคม 2560.

วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ตามรอยบ้านมีไฟ (House of Fire) แห่งอารยธรรมเขมร







                                 ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=304562

     
 
      "วหนิคฤหะ" หรือ บ้านมีไฟ,บ้านพร้อมไฟ หรือบ้านพักคนเดินทาง จำนวน 121 แห่ง ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ควบคู่ไปกับสถานพยาบาล หรือที่เรียกว่า "อโรคยศาลา"
       
        บ้านมีไฟ หรือบ้านพักคนเดินทาง  เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สร้างด้วยศิลาแลง มีสีค่อนข้างคล้ำ ใช้หินทรายประดับตกแต่งเพียงเล็กน้อย ประดิษฐานรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งทรงเป็นที่พึ่งของผู้เดินทางอยู่ทางทิศตะวันตก ปราสาทแบบนี้มีมุขค่อนข้างยาวออกไปทางทิศตะวันออก มีหน้าต่างหลายบานเฉพาะผนังทางทิศใต้ของมุข บางครั้งมีรูปพระพุทธรูปปางสมาธินั่งอยู่ในซุ้มหลายองค์ และตั้งอยู่บบนยอดหลังคาของมุขที่ยื่นออกมาทางทิศตะวันออก ไม่ปรากฏกำแพงล้อม



                ที่มา : http://oknation.nationtv.tv/blog/baanam/2008/09/21/entry-1/comment


         บ้านมีไฟ หรือบ้านพักคนเดินทาง หลักฐานที่ปรากฏจากจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา จารึกว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงโปรดให้สร้างบ้านมีไฟ หรือบ้านพักคนเดินทางขึ้นบนถนนนอกเมืองพระนครหลวงไปยังปราสาทหินพิมายบนที่ราบสูงโคราชในประเทศไทย 






อ้างอิง

-  วิสุทธิ์ ภิญโญวาณิชกะ. บ้านมีไฟและโรงพยาบาล (ออนไลน์). แหล่งที่มา: www.wisut.net/general-article/บ้านมีไฟและโรงพยาบาล/. 11 ตุลาคม 2560.
-  ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. บ้านมีไฟ (ออนไลน์). แหล่งที่มา: www.sac.or.th/databases/archaeology/terminology/บ้านมีไฟ. 11 ตุลาคม 2560.